Sunday, November 24, 2013

Hobbies



     Hobbies are the most fruitful pastime harboring personal interest and enjoyment. Every person has a passion for something that he engages in leisure time. This activity of passion gets termed as hobbies. Hobbies help us to relax through the pursuit of some engagement that brings about personal fulfillment.

List of hobbies

1. Animal-related : Bird watching, Beekeeping, Dog breeding, Horses, Hunting
2. Arts and crafts : Crochet, Cross-stitch, House making, Drawing,  Jewelry making
    Knitting, Leather crafting, Painting
3. Collecting : Books, Stamps, Bottles, Cameras, Cards, Coins, Comic books, Crystals
4. Computer-related :  Animation design, Computer games, Computer programming
5. Cooking : Baking, Barbecue (Grilling), Cake making / cake decorating
6. Film-making :  Animation, Short movies
7. Games : Board games, Card games, Video games
8. Gardening : Bonsai, Grafting
9. Literature : Learning foreign languages, Reading, Penpal, Writing
10. Music : Karaoke,  Playing musical instruments, Songwriting, Listening to music, 
      Singing 11. Outdoor/nature activities : Camping, Caving, Canoeing, Fishing, gardening, Skiing
12. Performing arts : Dancing, Glowsticking, Juggling, Magic tricks
13. Sports or other physical activities : Aerobics, Skating, Archery, Badminton,
     Baseball, Basketball, Bowling, Boxing, Cheerleading, Cycling, Diving, Football, 
     Running , Gliding, Golf, Gymnastics, Horseshoes, Hunting, Ice skating, Marbles,
     Mountain Biking, Paintball, Racquetball, Rowing, Rugby, Jogging, Sailing, Surfing,
     Table tennis, Tae Kwon Do, Tennis, Volleyball , Walking, Weight lifting,
     Skateboarding, Skating, Skiing, Snowboarding, Swimming, Yoga

www. en.wikipedia.org/wiki/List_of_hobbies                

คําทักทายอาเซียนของ 10 ชาติอาเซีย

 คําทักทายอาเซียนของ 10 ชาติอาเซีย

               เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้การทำธุรกิจต่าง ๆ ระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันเกิดความเสรี คล่องตัวมากขึ้น ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าชาวไทยต้องศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาของเพื่อนบ้าน เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร และวันนี้เรามีคำทักทายของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ชาติอาเซียน ได้แก่ ประเทศบรูไน พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม มาฝากกัน

บรูไนและมาเลเซีย
 
               ซาลามัด ดาตัง (หมายเหตุ บรูไนและมาเลเซียใช้ภาษาเดียวกัน)  หมายถึง สวัสดี

กัมพูชา

                อรุณซัวซะเดย หมายถึง สวัสดีตอนเช้า
                ทิวาซัวซะเดย หมายถึง สวัสดีตอนเที่ยงจนถึงเย็น

อินโดนีเซีย
 
               เซลามัทปากิ หมายถึง สวัสดีตอนเช้า
                เซลามัทซิแอง หมายถึง สวัสดีตอนเที่ยง
                เซลามัทซอร์ หมายถึง สวัสดีตอนเย็น
                เซลามัทมายัม หมายถึง สวัสดีตอนค่ำ

ลาว 

               สะบายดี  หมายถึง สวัสดี

พม่า
 
               มิงกะลาบา หมายถึง สวัสดี

ฟิลิปปินส์

                กูมูสต้า หมายถึง สวัสดี

สิงคโปร์
 
               หนี ห่าว (ใช้เหมือนจีน เพราะประชากรส่วนใหญ่ในสิงคโปร์เป็นชาวจีน) หมายถึง สวัสดี

ไทย

                สวัสดี

เวียดนาม
 
               ซินจ่าว หมายถึง สวัสดี

ที่มา ais.co.th

Friday, November 22, 2013

10 วิธีถนอมสายตา "จ้องคอมพ์-แท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน

10 วิธีถนอมสายตา "จ้องคอมพ์-แท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน"

               ทุกวันนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายสามารถแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันอย่างกลมกลืนและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนสังคมในปัจจุบัน ด้วยความสามารถที่รวมการใช้งานหลายประเภทเข้ามารวมไว้ในอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียว จึงไม่ยากที่สมาร์ทโฟนและเเท็บเล็ตจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของใครหลายคนไปแล้ว ภาพที่ใครต่อใครง่วนกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอแท็บเล็ตดูจะเป็นภาพที่คุ้นชินในสังคมยุคใหม่ ซึ่งอาจเรียกได้ว่ายุค ‘Gen S’ หรือ ‘Generation of Screen’

               ด้วยความต้องการขนาดพกพาที่เหมาะสม หน้าจอแสดงผลจึงมีขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งทำให้ฟังก์ชั่นการใช้งานบางอย่าง เช่น อ่านหนังสือออนไลน์ การพิมพ์เอกสาร หรือพิมพ์ตอบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยสะดวกนัก นอกเหนือจากหน้าจอที่มีขนาดเล็กแล้ว ระยะเวลาการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็ดูจะสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งานไม่น้อย การก้มคอนานๆ  การใช้ข้อนิ้วมือจิ้มแป้นพิมพ์ รวมไปถึงการจ้องมองหน้าจอขนาดเล็กนานเป็นชั่วโมง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น อาการตาแห้ง แสบตา ปวดเมื่อยสายตา ตาพร่า ตาล้า หรือใช้สายตาได้ไม่ทน รวมไปถึงมีอาการปวดรอบกระบอกตา ปวดขมับ ปวดคอ และปวดศีรษะได้ จึงขอแนะนำวิธีการใช้สายตาอย่างเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องดูหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ดังนี้


               1. ควรจะอยู่ในท่าทางที่เหมาะสมในการอ่าน และแนะนำให้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ก้มคออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป
               2. พักสายตาเป็นระยะทุกครึ่งชั่วโมง ด้วยการทอดสายตาไปไกล ๆ มองสิ่งของที่ห่างไปไม่น้อยกว่า 20 ฟุตหรือหลับตานิ่ง ๆ ประมาณห้านาที ก่อนกลับมาใช้งานหน้าจอต่อ
               3. ไม่ฝืนอ่านตัวอักษรที่มีขนาดเล็กเกินไป ซึ่งทำให้ต้องเพ่ง ควรปรับขนาดตัวอักษรให้อ่านง่าย สบายตา
               4. หลีกเลี่ยงการใช้งานหน้าจอในขณะอยู่บนยานพาหนะที่มีการสั่นสะเทือนซึ่งจะทำให้ภาพหรือตัวอักษรสั่นไปด้วย
               5. ปรับความสว่างของหน้าจอให้สบายตา ไม่สว่างจ้าเกินไป


               6. ผู้ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติ ควรมีแว่นสำหรับอ่านหนังสือที่เข้ากับค่าสายตาและเหมาะสมกับระยะ ในการมองหน้าจอ
               7. ควรหาตำแหน่งในห้องหรือสถานที่ที่เรากำลังใช้งานหน้าจอ ให้แสงตกกระทบเฉียง ๆ กับหน้าจอ เพื่อลดแสงสะท้อนรบกวน
               8. อย่าใช้งานหน้าจอติดต่อกันนานเกินไปในแต่ละวัน ควรสังเกตว่าการใช้งานหน้าจอนานเท่าใด ที่ทำให้รู้สึกตาล้า และมีตาพร่า
               9. กะพริบตาบ่อย ๆ เพื่อลดอาการตาแห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้สายตานาน ๆ ในที่ที่มีอากาศแห้ง หรือลมพัดเข้าสู่ดวงตา
               10. ผู้ที่ทราบอยู่แล้วว่าตาแห้งหรือผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ควรใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เมื่อต้องใช้งานหน้าจอ สมาร์ทโฟนหรือเเท็บเล็ตเป็นเวลานาน ๆ จะช่วยลดปัญหาตาแห้งได้

               แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการใช้งานหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือเเท็บเล็ตทำให้เกิดโรคตาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นต้อกระจก ต้อหิน หรือจอประสาทตาเสื่อม แต่ในอนาคตหากเราติดตามและเฝ้าระวังการเกิดโรคเป็นระยะเวลานานหลาย ๆ ปี อาจพบข้อมูลว่าการใช้งานหน้าจออุปกรณ์ดิจิตอลเหล่านี้ทำให้เกิดโรคตาก็เป็นได้ ดังนั้นการใช้งานหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือเเท็บเล็ตอย่างเหมาะสมดูจะเป็นแนว ทางที่ช่วยให้เราใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน ไม่เพียงแต่เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางตาที่ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัดในขณะนี้ แต่ยังช่วยถนอมรักษาสายตาของเราไว้ใช้ได้นาน ๆ อีกด้วย

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Thursday, November 21, 2013

วิธีเลือกซื้อกล้วยหอม

วิธีเลือกซื้อกล้วยหอม

            วิธีเลือกซื้อกล้วยหอม : กล้วยเป็นผลไม้ที่ทานแล้วมีประโยชน์ แต่ถ้าซื้อและเก็บไม่ดีอาจจะทำให้กล้วยดำง่ายไม่น่าทานวันนี้จึงเอาใจคนชอบทานกล้วยหอม มีวิธีเลือกซื้อกล้วยหอมมาฝาก...

            เวลาเลือกซื้อกล้วยหอม คือ ให้เลือกกล้วยหอมที่มีสีเหลืองทอง และยังเขียวนิดหน่อยที่ก้าน และต้องไม่มีรอยช้ำ (แต่ปัจจุบันอาจจะหากล้วยสวย ๆ ยากมาก) ในซูเปอร์มาร์เก็ตก็แพ็คมาทีละ 4-5 ลูกในถาดโฟม เลือกก็ไม่ได้ ถึงแม้กล้วยหอมจะยังไม่สุกเต็มที่ แต่ปล่อยให้สุกที่บ้านจะเก็บได้นานขึ้น

            ถ้าซื้อกล้วยดิบ ที่ยังเขียวอยู่ให้นำมาห่อด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น บิดให้แห้ง แล้วนำใส่ในถุงกระดาษสีน้ำตาล กล้วยจะสุกเร็วขึ้น อย่าเก็บกล้วยและแอปเปิ้ลในที่เดียวกัน เพราะก๊าซเอทเทอรีนในแอปเปิ้ลจะทำให้กล้วยดำเร็วขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีกล้วยหอมที่น่าทานแล้ว

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Wednesday, November 20, 2013

ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเข้าถึงผักผลไม้

ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเข้าถึงผักผลไม้

                  คุณรู้ไหมว่าระดับการศึกษาส่งผลต่อการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราเอง ยิ่งถ้ามีการศึกษาที่ดีกว่าคนอื่น ๆ ก็จะยิ่งเข้าถึงและเปิดรับอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมที่สุด คือ คนที่มีการศึกษาสูงจะเลือกกินแครอทและแอปเปิลมากกว่าคนทั่วไป สิ่งที่กล่าวมานี้ไม่ได้กล่าวขึ้นลอย ๆ แต่อย่างใดครับ แต่เป็นการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านสารอาหาร Nutrition Journal จากมหาวิทยาลัยคอนคอร์เดีย (Concordia) ซึ่งเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากบุคคลทั่วไป ที่มีอายุตั้งแต่ 18-69 ปี และเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึง 94,000 คน

                 ผลที่ได้คือกลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาในระดับที่น้อยกว่า และมีรายได้ที่น้อยกว่ากินผักผลไม้ (ต่อวัน) น้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีรายได้และการศึกษาสูงกว่า ในเวลาเดียวกัน คนที่มีระดับการศึกษามากกว่าจะเลือกกินแครอทและแอปเปิลมากที่สุดและบ่อยครั้งที่สุด ผู้หญิงจะกินผักและผลไม้มากกว่าผู้ชาย ในเวลาเดียวกันก็พบว่าคนโสด คนที่สูบบุหรี่ และผู้ใหญ่วัย 40 ปี ที่ไม่มีลูกหรือเด็ก ๆ อยู่ที่บ้านจะมีคุณภาพในการกินที่แย่ลง เหล่านี้คือปัจจัยเสริมที่น่าสนใจ การวิจัยนี้ทำให้หลายคนหันกลับมาสนใจคำพูดที่ว่า ‘กินแอปเปิลวันละผล ทำให้สุขภาพดีได้’ ในมุมที่จริงจังและหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม

ที่มา http://men.th.msn.com/health/ยิ่งเรียนสูง-ยิ่งเข้าถึงผักผลไม้

สตรอเบอรี่ - เรื่องน่ารู้

สตรอเบอรี่

                 สตรอเบอรี่เป็นผลไม้เมืองหนาว อยู่ในวงศ์กุหลาบ ผลรับประทานได้ อดีตนำมาปลูกเป็นพืชคลุมดินให้กับต้นไม้ปลูกเลี้ยงอื่น มีมากกว่า 20 สปีชีส์ และมีลูกผสมมากมาย แต่ที่นิยมในปัจจุบันคือสตรอเบอรี่สวน มีปลูกกันเป็นวงกว้างหลายสภาพอากาศทั่วโลก เป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย 

                 สตรอเบอรี่ มีวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก และโพแทสเซียมช่วยปรับความดันในตา มีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย เสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง.

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Sunday, November 17, 2013

แก้ท้องผูกด้วยเมล็ดแมงลัก

แก้ท้องผูกด้วยเมล็ดแมงลัก

              ใบสดรสหอมร้อน แก้หวัด ขับลม “เมล็ดแช่น้ำดื่ม” เพิ่มกากอาหาร ขับถ่ายสะดวก ช่วยระบบย่อยดีขึ้น

              “แมงลัก” เป็นพืชล้มลุก อายุเฉลี่ย 1-2 ปี ลักษณะใบเล็กกลิ่นฉุน มีขนอ่อนสีขาวบริเวณก้านใบ และยอด ขึ้นได้ดีในที่ดอน ดินร่วนซุย สามารถปลูกได้โดยใช้กิ่งชำ หรือใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้า จากนั้น เมื่องอกได้ 1 เดือน จึงย้ายปลูกลงแปลงที่เตรียมดินไว้ และควรให้น้ำสม่ำเสมอวันละ 1 ครั้ง 

              ส่วนใบใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกะเพรา-โหระพา นิยมใส่แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ต้มยำ ลาบ และทานกับขนมจีน ให้รสหอมร้อน แก้หวัด และขับลม ส่วน “เมล็ดแมงลัก” นอกจากจะใช้ทำเมนูขนมหลายอย่างแล้ว ในทางสมุนไพรยังสามารถช่วยบรรเทา “อาการท้องผูก” ได้ด้วย 

              โดยนำ “เมล็ดแมงลัก” 1 ช้อนชา แช่น้ำสะอาด 1 แก้ว (ประมาณ 250 ซีซี) ทิ้งไว้จนพองเต็มที่ แล้วดื่มก่อนนอน ทั้งนี้ อาจใส่น้ำตาลทรายเล็กน้อยเพื่อดื่มง่ายขึ้น สำหรับ “เมล็ดแช่น้ำดื่ม” จะช่วยเพิ่มกากอาหาร หล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว ทำให้ขับถ่ายสะดวก และระบบย่อยดีขึ้น
  
              อย่างไรก็ตาม การทานผัก ผลไม้ และธัญพืชที่มีกากใย หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และให้เวลากับการขับถ่าย อย่ารีบเร่ง จะช่วยพิชิตอาการ “ท้องผูก” ได้ถาวร ถือเป็นยาระบายชั้นดีที่สุดแล้ว

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

กาแฟต้านมะเร็ง

กาแฟต้านมะเร็ง

             หลายคนคงคิดว่า กาแฟ อะไรก๊าน...จะมาต้านมะเร็งได้ ดีแต่จะทำให้เป็นมะเร็งซะมากกว่า จริงๆ แล้วการดื่มกาแฟนอกจากจะทำให้สมองตื่นตัวแล้ว ยังสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ด้วย แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่าสงวนไว้เฉพาะกาแฟพันธุ์ อาราบิก้า เท่านั้นนะจ๊ะ . . .
  
             แล้วที่สำคัญการดื่มกาแฟต้องดื่มตอนร้อนๆ แล้วเปลี่ยนจากการใส่น้ำตาลมาใส่น้ำผึ้งแทน อ้อ...ถ้าจะช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ ต้องดื่มกาแฟสลับกับการดื่มน้ำชานะจ๊ะ แต่ก็อย่าดื่มทั้งกาแฟและชามากจนเกินไป เว้นระยะในการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้บ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเราไงจ๊ะ

ที่มา หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

Thursday, November 14, 2013

มาดูแลผิวให้ชุ่มชื้นช่วงหน้าหนาวกันเถอะ !

มาดูแลผิวให้ชุ่มชื้นช่วงหน้าหนาวกันเถอะ !

                 หน้าหนาวเก็บผิว ปกปิด หมดสวยกันเลยล่ะทีนี้ หน้าหนาวใครว่าจะทำให้ผิวเราหมดสวยได้ล่ะก็คุณคิดผิดแล้วค่ะ ถ้าเราไม่ยอมหยุดสวยซะอย่างหน้าหนาว ๆ อย่างนี้ก็จะมาพลากหรือทำอะไรความสวยของเราไปไม่ได้หรอกค่ะ พร้อมจะมีผิวชุ่มชื้นท้าหนาวกันรึยังเอ่ย ... ถ้าพร้อมแล้วลุยเลยจร้า

                 1. เริ่มจาการอาบน้ำที่หลีกเลี่ยงน้ำอุ่นได้จะดีตัวการทำผิวแห้งตึง แต่เชื่อว่าสาวๆ ส่ายหัวกันใหญ่แน่เลยใช่ไหมล่ะจ๊ะ นั้นก็เอาน้ำอุ่นแบบพอเหมาะก็พอนะจ๊ะอย่างให้ร้อนไปจนทำลายน้ำมันเคลือบผิวจนหมด

                 2. เมื่อถึงเวลาล้างหน้าเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ชุ่มชื้นไม่แห่งตึงเหมาะกับหน้าหนาวเป็นที่สู๊ด .. จ้า ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีฟองหรือมีก็น้อยมากเวลาล้างหน้าจะต้องไม่รู้สึกแห้งตึงนะจ๊ะ

                 3. ต่อจากนั้นบำรุงผิวกันต่อด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้ตลอดทั้งวันจ้าและถ้ารู้สึกว่าผิวแห้งขึ้นเมื่อไรก็อย่าลืมงัดครีมที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ออกมาทากันได้ตลอดเลยนะจ๊ะสาว ๆ

สุดยอดสารอาหารสารพัดประโยชน์จากลูกเดือย


สุดยอดสารอาหารสารพัดประโยชน์จากลูกเดือย

                     พวกคุณอาจจะเคยรู้จัก ลูกเดือย มาจากน้ำเต้าหู้ ลูกเดือย ถือว่าเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาดให้กับน้ำเต้าหู้ แต่บทความนี้จะให้ความรู้เรื่อง ลูกเดือยตากแห้ง สรรพคุณมากเพิ่มรสชาดได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถเป็นยาได้

                     ลูกเดือย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi วงศ์ Poaceae เป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองแท้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดมีรูปร่างกลม ๆ รี ๆ สีขาว รสชาติออกมันเล็กน้อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาก

สรรพคุณลูกเดือยตากแห้ง

                     ลูกเดือยตากแห้ง เมื่อปรุงอาหารแล้วจะมีรสหวานและมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย ลูกเดือยตากแห้ง ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร ทำให้ฝีหนองหายเร็ว ลดไข้ได้ดี ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า แพทย์พบว่า ลูกเดือย ออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ อีกทั้ง ลูกเดือยตากแห้ง ยังช่วยแก้อักเสบ ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เช่น ปวดท้องคลอดได้ ลดอาการบวม แก้โรคเหน็บชา

                     วิธีบรรเทา โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบรุนแรง ให้นำ ลูกเดือย มาบดเป็นผงหรือต้มกินวันละ 12-35 กรัม จะช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการได้ หากนำ ลูกเดือย บดเป็นผง 30-60 กรัม ไปต้มรวมกับข้าวต้ม 60 กรัม แล้วกินทั้งเช้าและเย็น จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำในคนชรา อาการท้องร่วง ข้อต่ออักเสบ อาการมือและเท้าชักกระตุกได้ดี ที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

Wednesday, November 13, 2013

อยากถอนพิษต้องผักชีล้อม !

อยากถอนพิษต้องผักชีล้อม !

              หากสงสัยว่าเป็นโรคไขมันในตับให้กินผักชีล้อม

              ผักชีล้อม หรือ Fennel เป็นพืชล้มลุก 2 ปี หรือหลายปี มีกลิ่นหอม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Foeniculum vulgare อยู่ในวงศ์ผักชีฝรั่ง มีถิ่นกำเนิดในยุโรปตะวันตกและเอเชียตะวันตกระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นิยมปลูกกันอย่างกว้างขวาง เมล็ดและน้ำมันสกัดใช้ทำสบู่หอมและน้ำหอม ใช้แต่งกลิ่นและรสชาติลูกกวาด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยา ขนมปังหวาน ของดองหวาน และดับคาวปลา

             หนังสือสมุนไพร 91 ชนิดพิชิตโรค ในชุดตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน UNESCO คัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก บันทึกไว้ว่า ผักชีล้อมดีต่อผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ได้แก่ ปวดหัว นอนไม่หลับ หงุดหงิด ท้องเสียสลับท้องผูกอยู่บ่อย ๆ ไข้ต่ำ ลมพิษ หรืออาจคันตามผิวหนัง ให้นำผักชีล้อมตากแห้ง 150-200 กรัม (หรือผักชีล้อมสด 1 กก.) มาต้มดื่ม ดื่มหลังอาหารวันละ 3 ครั้งติดต่อกัน 1 เดือนขึ้นไป จะทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยให้เจริญอาหารด้วย

              อาการเจ็บปวดบริเวณตับ หรือส่วนต่าง ๆ จะดีขึ้น ที่เคยเหนื่อยและอ่อนเพลียจะหายไป อีกทั้งยังรักษาอาการบวม ปัสสาวะไม่ออก และปัสสาวะเป็นเลือดด้วย ช่วยบรรเทาอาการเลือดออกในมดลูก และความดันโลหิตสูง

              อย่างไรก็ตาม ผักชีล้อมมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันในตับ ถอนพิษ โรคภูมิแพ้ ลดคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Tuesday, November 12, 2013

วิธีต้มผักเขียวให้น่าทาน


วิธีต้มผักเขียวให้น่าทาน

              จะทำอย่างไรดีล่ะ? ผักที่ต้มทิ้งเอาไว้ ดูไม่น่ากินเลย . . . เรามีวิธีแก้มาฝากค่ะ การที่เราจะต้มผักใบเขียวให้มีสีเขียวสด ดูน่ารับประทานนั้น ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ วิธีก็คือ “เวลาที่เราจะต้มผัก ให้เราเหยาะเกลือลงไปเล็กน้อย แล้วตามด้วยน้ำมันพืชอีกนิดหน่อย ซึ่งน้ำมันพืชจะช่วยให้ผิวนอกของผักมันวาว ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น”
              แต่ถ้าเป็นผักที่มีสีขาว อย่างเช่น กระหล่ำปลี แล้วล่ะก็ เราก็เปลี่ยนมาเป็นเหยาะน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ต้ม ผักก็จะดูขาว ใส น่ากินแล้วอย่าลืมนำไปลองทำดูนะคะ

ที่มา คู่มือคู่ครัว

8 หนทางลัดของคนไม่อยากอ้วน


8 หนทางลัดของคนไม่อยากอ้วน

1. Say No ก๋วยเตี๋ยวผัด
            เคยเห็นเวลาแม่ค้าเขาผัดก๋วยเตี๋ยวกันบ้างหรือเปล่า และเคยนับไหมว่าเขาใส่น้ำมันลงไปกี่ครั้ง คนที่กินก๋วยเตี๋ยวผัดมักจะไม่ทันรู้สึกถึงความมันของอาหารจานโปรด เพราะน้ำมันทั้งหมดมันซึมเข้าไปในเส้นเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าเอาไปวัดแคลอรีคุณอาจช๊อกกับตัวเลขที่คำนวณออกมา

2. กินแบบครึ่งต่อครึ่ง
            ครึ่งที่ว่านี้หมายถึงกินข้าวครึ่งจานและผักอีกครึ่งจาน หรือถ้ารู้สึกว่ากินข้าวน้อยแล้วไม่อิ่ม ก็อาจจะลดผักลงมาเป็น 3 ใน 4 ของอาหารทั้งจานก็ยังได้

3. Good Bye ก๋วยเตี๋ยวแห้ง
            ปมด้อยของก๋วยเตี๋ยวแห้งอยู่ที่เส้นที่ชอบสามัคคีกันเป็นก้อนจนแกะไม่ออก แม่ค้าเขาก็เลยต้องใส่น้ำมันลงไปเยอะ ๆ เพื่อสร้างความแตกแยก และเจ้าน้ำมันช้อนกว่า ๆ นี่ล่ะที่จะทำให้คุณอ้วนเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ลดแทบตาย ถ้าคุณเป็นสาวกก๋วยเตี๋ยว ขอแนะนำให้เปลี่ยนมากิน ก๋วยเตี๋ยวน้ำหรือไม่ก็เกาเหลาไปเลยจะดีกว่า จะได้ทั้งความอร่อยและความผอมครบสูตร

4. ข้าวกล้องครึ่งข้าวขาวครึ่ง
            ข้าวกล้องเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพมาก ๆ มันช่วยลดโคเลสตอรอล ลดไขมันในเส้นเลือด คนที่กินข้าวกล้องเป็นประจำจึงไม่ต้องกลัวเลยว่าจะอ้วน แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบรสชาติของข้าวกล้องอาจจะใช้วิธีตักข้าวกล้องกับข้าวขาวปนกันอย่างละครึ่งจาน จะเท่ากับว่าคุณได้กินยาลดความอ้วนทุก ๆ มือ แถมยังได้ผิวสวยหน้าใสเป็นของแถมอีกด้วย 

5. เมล็ดธัญพืชไม่ต้องบ่อย
            เมล็ดธัญพืชมีคุณค่าอาหารสูงมาก และให้พลังงานที่จำเป็น ทำให้อิ่มท้อง แต่ขณะเดียวกันก็มีไขมันสูงไม่ใช่ย่อย เวลากูรูด้านการลดน้ำหนักจัดตารางอาหารให้คนไข้จึงมักจะห้ามไม่ให้กินเมล็ดธัญพืชมากเกินวันละ 1 กำมือเล็ก และไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

6. กาแฟ I Can Do
            เลิกเสียเงินซื้อกาแฟแก้วละเกือบร้อยจากร้านเก๋ ๆได้แล้ว โดยเฉพาะพวกกาแฟใส่นมอย่างลาเต้ มอคค่า คาปูชิโน่ที่มีแคลอรีล้ำหน้าความอร่อยไปไกลโข นาทีนี้คุณควรจะหันมาพึ่งตัวเอง ชงกาแฟกินเอง คุณจะได้จำกัดจำนวนนม น้ำตาลเองได้ ช่วยตัดแคลอรีจากกาแฟลงได้เกือบครึ่ง แถมยังมีเงินเหลือไปซื้ออุปกรณ์กีฬามากออกกำลังกายได้อีกต่างหาก

7. ถั่วเหลืองสกัดไขมันสัตว์
            เวลากินเนื้อสัตว์ ถึงจะพยายามเขี่ยยังไงก็ยังต้องมีไขมันปนมาอยู่ดี สำหรับคนที่อยากผอมอย่างจริง ๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง และสารพัด ถั่วจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เอาถั่วที่คุณชอบมาต้มแล้วใส่กล่องเก็บเข้าตู้เย็นไว้ เวลาทานข้าวก็ตักเนื้อสัตว์ออกครึ่งหนึ่งจากประมาณทั้งหมดที่คุณจะกิน แล้วใส่ถั่วที่เตรียมไว้ลงไปแทน คุณจะได้ไม่ต้องอดหมูเห็ดเป็ดไก่ของชอบ และสามารถกินเนื้อน้อยลงโดยที่ยังได้โปรตีนครบเหมือนเดิมด้วย . . ดีสองเด้งอย่างนี้ไม่ลองแล้วจะเสียใจ

8. งดกินของทอด
            บางคนมีวิธีกินของทอดโดยการใช้กระดาษซับน้ำมันออกก่อน แต่ที่จริงถึงจะซับยังไงของทอดก็ยังแคลอรีสูงอยู่ดี เพราะน้ำมันส่วนใหญ่ซึมเข้าไปอยู่ในอาหารหมดแล้ว ต่อให้ซับทั้งวันก็เอาออกมาไม่ได้ วิธีป้องกันความอ้วนที่ดีที่สุดจึงได้แก่กาโบกมือลา บ๊ายบายให้ของทอด ๆ ไปเลย

ที่มา  Spicy Magazine

กินอย่างไรให้น้ำหนักลด

 กินอย่างไรให้น้ำหนักลด

             กินอย่างฉลาด และยังช่วยให้เราสามารถลดความอ้วนได้โดยที่ไม่ต้องอดอาหาร น่าสนใจมั๊ยละคะ สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนอยู่ ลองทำตามวิธีด้านล่างนี้ดูนะคะ เพราะคุณจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 5 กิโลทีเดียว 

             1. กินผักเยอะ ๆ ช่วยให้อิ่มเร็ว เลี่ยงอาหารที่มีน้ำมัน พยายามกินอาหารที่ระบุว่า มีไขมันต่ำ
  
             2. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ แต่ละมื้อต้องอิ่ม เพื่อว่าจะได้ไม่หิวบ่อย งดการกินจุบกินจิบ หรือกินสิ่งที่ไม่ควรกินภายหลัง เช่น พวกของว่าง เค้ก ฯลฯ 

             3. กินนม โยเกิร์ต ปลาตัวเล็ก เพื่อให้ได้แคลเซี่ยมไปบำรุงกระดูก
  
             4. อย่าอดอาหารมื้อเช้าเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้คุณเฉยชา สมองไม่ทำงาน เพราะขาดสารอาหารแล้ว ยังทำให้คุณหิวจัด และกินไม่บันยะบันยังในมื้ออื่น ๆ
  
             5. กินอาหารที่มี พริกไทย เครื่องเทศ เพื่อกระตุ้นระบบการย่อย และเผาผลาญไขมัน
  
             6. กินผลไม้ 2 – 3 ชนิด ในแต่ละวัน 

             7. ดื่มน้ำผลไม้สด และน้ำเปล่า เท่าที่จะมากได้

             หมายเหตุ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย อาทิตย์ละ 4 ครั้ง ครั้งละ 15 –30 นาที เพื่อกระชับกล้ามเนื้อไม่ให้หย่อนยาน ทำให้ผิวเต่งตึงด้วย


ที่มา นิตยสารแพรวสุดสัปดาห์

จมูกข้าว - เรื่องน่ารู้


จมูกข้าว - เรื่องน่ารู้

                   การรับประทานจมูกข้าวเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบบริบูรณ์ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ส่วนผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หากได้รับประทานจมูกข้าว ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ก็จะทำให้การรักษาเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น จมูกข้าวไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นสารอาหารที่สกัดจากจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอาหารสมบูรณ์มาก 

                   ผู้ที่รับประทานเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นตลอดเวลา ร่างกายจึงมีภูมิต้านทานสูง เซลล์ไม่เสื่อม สุขภาพดี ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้อวัยวะสำคัญต่าง ๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ สมอง ตับอ่อน และอื่น ๆ มีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น และที่เสื่อมสภาพก็กลับฟื้นตัวและทำงานได้อีกครั้งหนึ่ง ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ, โรคตับ, โรคไต, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคภูมิแพ้, โรคความจำเสื่อม และ 

                   มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งมีผลให้ความดันโลหิตลดลง และช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ยับยั้งโรคเบาหวาน มีกรดไขมันไลโนเลนิค หรือโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันภาวะเสื่อมของสมอง อันเป็นสาเหตุของโรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ โรคอัมพฤกษ์ มีกรดไขมันไลโนเลอิค หรือโอเมก้า 6 ช่วยให้ผิวหนังสดใสมีน้ำมีนวล และช่วยระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานเป็นปกติ ทำให้ประจำเดือนมาปกติ ช่วยบำบัดอาการผิดปกติของชาย-หญิง วัยเจริญพันธุ์ ให้ผลดีในการรักษาผู้มีบุตรยากและสตรีวัยทอง มีวิตามินเอ บำรุงสายตา บีรวม บำรุงเส้นประสาทฝอยต่าง ๆ รักษาปากเปื่อย ปากนกกระจอก ร้อนใน เบต้าแคโรทีน บำรุงสายตาและสมอง ประโยชน์โดยภาพรวม ก็คือ ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น.

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สอนลูกเรียนอย่างเทพ


สอนลูกเรียนอย่างเทพ
ว. วชิรเมธี

               ด้วยค่านิยม และชีวิตการทำงานของคนในสังคม ทำให้ “ความเก่ง” เป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายท่านอยากให้เกิดกับลูก แต่สำหรับพ่อแม่บางคน คงต้องยอมรับด้วยว่า ความเก่งไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคนเสมอไป ดังนั้นแทนที่จะไปกดดัน หรือคาดหวังในตัวลูก ลองค่อย ๆ สอน และหาแนวทางให้ลูกจับเคล็ดการเรียนให้เป็น
  
               วันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเคล็ดตัวช่วยจากประสบการณ์ตรงของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว. วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย มานำเสนอเป็นแนวทางให้พ่อแม่ได้ใช้ฝึกลูกเก่งอย่างเซียน เรียนอย่างเทพกัน เริ่มจาก
  
               ฟังให้มาก อ่านให้เยอะ ถามให้เก่ง
  
               “คนฉลาดฟังข่าว คนง้าว (โง่) ฟังเพลง” ประโยคนี้ เป็นสิ่งที่โยมแม่ของพระมหาวุฒิชัย คิดขึ้นมาเพื่อสอนให้ลูกรู้จักฟังให้มาก เพราะการฟัง หรือสุตะ เป็นส่วนหนึ่งของหัวใจนักปราชญ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ฟังอย่างเดียวเท่านั้น ต้องดู และอ่านไปพร้อม ๆ กันด้วย เป็นการสั่งสมข้อมูล และความเชี่ยวชาญในตัวเด็กได้ดีอย่างหนึ่ง
  
               “พระอาจารย์เติบโตโดยมีแม่ตื่นตีห้าทุกวัน พอถึง 6 โมงเช้า เราก็จะได้ฟังข่าว พอไปโรงเรียน เวลาครูถามปัญหาอะไรในบ้านเมือง พระอาจารย์ตอบได้หมด เพราะอะไร เพราะพระอาจารย์ฟังกับแม่ทุกวัน ซึ่งบางครั้งที่เราอยากฟังเพลง แต่มีจะฟังข่าว แม่จึงสร้างคำขวัญขึ้นมาว่า คนฉลาดฟังข่าว คนง้าว (โง่) ฟังเพลง” พระมหาวุฒิชัยเล่าชีวิตที่เติบโตมาพร้อมกับการฟัง (วิทยุ) กับแม่

               ดังนั้น พ่อแม่ท่านใดที่อยากให้ลูกเรียนอย่างเทพ การฟัง และการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ การฝึกให้ลูกรู้จักฟังข่าว หรือฟังเรื่องที่เป็นสาระ พร้อม ๆ กับอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านร่วมกันจะทำให้ลูกมีคลังข้อมูลสั่งสมไว้ใช้ในอนาคตจำนวนมาก รวมไปถึงการฝึกให้ลูกกล้าถามในเรื่องที่ควรถาม จะนำไปสู่การค้นหาคำตอบ และทำให้ลูกรู้จักแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง

ความอดทน

ความอดทน
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙)
เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

                ผู้มีความอดทนย่อมไม่เป็นอันตรายกับใคร ๆ มีแต่จะนำประโยชน์สุขมาให้กับผู้ที่คบหาสมาคมด้วยอย่างเดียว เพราะผู้มีความอดทนย่อมมีมงคลคือความเจริญในตนอยู่แล้ว จะประกอบกิจการทุกสิ่งล้วนทำด้วยปัญญาอันมีเหตุมีผลทั้งนั้น อีกทั้งเป็นผู้หนักแน่น ไม่หวั่นไหวได้ง่าย   ส่วนผู้ที่ไม่มีความอด ทนย่อมตรงกันข้าม คือ เมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจเข้าก็อาจจะแสดงกิริยาอาการอันไม่งาม ไม่น่าชมออกมาได้ทุกเวลา ทุกโอกาสสถานที่ และเมื่อเป็นเช่นนี้การประกอบกิจการทุกสิ่งทุกอย่าง หรือการคบหาสมาคมกับคนอื่น เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อกันนั้น ก็ย่อมจะถึงกาลเสื่อมเสียไป ความอดทนท่านจำแนกไว้เป็น 3 ประการ คือ 
                1. อดทนต่อความยากลำบาก หมายความว่า อดทนต่อทุกขเวทนาที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วย่อมไม่พ้นจากความแก่ ความเจ็บ และความตายไปได้ จำต้องประสบพบพานกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะยากจน หรือร่ำรวย   
               2. อดทนต่อความตรากตรำ หมายความว่า อดทนต่อความทุกข์ยากจากการทำงาน เพราะทุกคนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งผู้ที่จะได้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต จะต้องขยันประกอบอาชีพการงาน แต่ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ทำงาน ก็จะมีความเป็นอยู่ลำบาก หากมีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ก็จะหาทรัพย์ได้ 
                3. อดทนต่อความเจ็บใจ หมายความว่า อดทนต่อความโกรธที่มากระทบกระทั่ง เพราะทุกคนจะอยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นหมู่คณะ เป็นครอบครัว ตลอดถึงเป็นประเทศชาติ ผู้อยู่ร่วมกันเช่นนี้บางครั้งอาจมีความกระทบกระทั่งกัน ทะเลาะวิวาทบาดหมางกันบ้าง เพราะต่างก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดความอดทนแล้ว ความทะเลาะวิวาทบาดหมางก็จะแตกแยกแผ่ขยายกว้างออกไป จนทำให้เสียหน้าที่การงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ประโยชน์สุขก็จะไม่เกิดขึ้น  ท่านผู้มีปัญญาพิจารณาถึงโทษที่เกิดขึ้นแล้วควรใช้ความอดทนเข้า ระงับความเจ็บใจ อันก่อให้เกิดความโกรธ จนสามารถให้เกิดเป็นเวรภัยแก่ตนและคนอื่นได้ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วก็ย่อมจะได้รับประโยชน์สุข ได้ชื่อว่าอดทนต่อความเจ็บใจ อันเป็นยอดของความอดทนทุกอย่าง ดังนั้น ผู้ที่มีขันติธรรม คือความอดทน เป็นผู้ปราศจากเวร นอกจากจะเป็นที่รักใคร่นับถือสำหรับมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังเป็นที่รักใคร่นับถือของทวยเทพเทวดาทั้งหลาย ย่อมสามารถนำประโยชน์สุขมาให้แก่ตนเองและคนเหล่าอื่นได้อีกด้วย

นิรโทษกรรมใจให้การด่า

 
นิรโทษกรรมใจให้การด่า
นายแพทย์ กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล

            ตอนเด็ก ๆ เรามักได้ยินเพื่อนพูดหรือแม้แต่เราเองก็มักจะพูดเสมอว่า ถูกพ่อด่า แม่ด่า ครูด่า มาเมื่อสักครู่นี่เอง เพราะเราไม่เชื่อฟังท่านเหล่านั้น หรือเพราะเราเป็นเด็กเกเร ไม่มีวินัยและอาจจะไปกระทำความผิดอะไรสักอย่างมาประมาณนั้น แต่เราก็มักจะไม่เข้าใจว่า การด่าของท่านเหล่านั้น อาจจะเป็น “ว่า” หรือการ “ตำหนิ” ในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเราเสียมากกว่า

             การใช้ภาษาของคนเรา บางทีก็มีปัญหา ปัญหาคือไม่ใช้คำยาก แต่เพราะเราชอบใช้คำง่าย ๆ สบาย ๆ นึกคำไหนออกก็หยิบมาใช้ แต่บางทีความหมายอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ ทั้งในทางบวกและในทางลบซึ่งมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้คำเหล่านั้นก็ได้ 

            เมื่อพูดถึงการด่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบประเด็นเรื่องนี้มาพูด เพื่อเป็นการบริหารสมอง บริหารความคิดของท่าน และแน่นอนคงจะเป็นการบริหารอารมณ์ของเราด้วย เนื่องจากในปัจจุบันเรามีปัญหาเรื่องการใช้สื่อที่อิสระจนเกินไป จนทำให้คนไทยจำนวนมากหลงระเริงอยู่กับการด่าทอคนอื่นอย่างเมามัน เด็กและเยาวชนติดนิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นจนแยกแยะโลกแห่งความเป็นจริงและโลกในโลกไซเบอร์ไม่เป็นเสียแล้ว ผู้ใหญ่เองก็ไม่น้อยหน้า ตกเป็นเหยื่อและเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา การด่าที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเสียหมด
การด่ามีอะไรบ้าง......


             ด่าว่า เป็นการตำหนิติเตียนทั่ว ๆ ไป ความหมายหลักอาจจะเป็นการว่ากล่าวหรือตักเตือน ส่วนใหญ่คนที่ทำนั้นทำไปด้วยเจตนาดี เช่นพ่อแม่ด่าว่าลูกที่ไม่ช่วยงานบ้าน แต่ลึก ๆ แล้วปรารถนาดีอยากให้ลูกเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือครอบครัวและฝึกฝนการทำงาน เจ้านายด่าว่าลูกน้อง เพราะอยากให้เป็นคนเก่งในการทำงาน การด่าว่าแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร และถ้าคนที่รับฟังคำด่าแบบนี้เข้าใจอีกฝ่าย ก็คงไม่ทำให้หงุดหงิดรำคาญใจอะไรมากมาย เพราะพอรู้เจตนาของผู้ด่าว่า 

            ด่าทอ ราวกับว่ามีเรื่องขัดใจกัน คือแต่ละฝ่ายไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายสมหวังหรือพึงพอใจต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ พอเกิดความผิดหวัง อารมณ์เลยขึ้น และเริ่มคุมไม่ได้จนในที่สุดก็เกิดการทะเลาะกัน นั่นคือเกิดการด่าทอกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการทำเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองและปรารถนาจะใช้คำพูดที่หยาบคายหรือมีความรุนแรงแฝงอยู่ ที่ตัวเองคิดว่าทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างพึงพอใจ 

            ด่าสาดเสียเทเสีย ข้อนี้คงจะมีความเคียดแค้นชิงชังเก็บกดอย่างรุนแรง เรียกว่าขุดหรือรื้อฟื้นเรื่องไหนเอามาด่าได้เพื่อความสะใจ ณ ช่วงเวลานั้นซึ่งทำให้ อารมณ์ขุ่นมัวต่อเนื่อง บางรายก็ค้างคาใจต่อเนื่องอยู่หลายวัน ซึ่งก็สะท้อนสุขภาพจิตของคนด่าเองว่ามีปัญหามากน้อยขนาดไหนและพลอยให้ผู้ที่ถูกด่าต้องเครียดตามไปด้วย ด่ากระตุ้นอารมณ์อีกฝ่ายหนึ่งให้ติดกับดักอารมณ์ของตนเอง อาจจะเป็นอย่างกรณีด่าสาดเสียเทเสีย หรือบางคนอาจจะด่าเนิบ ๆ ด่าเรื่อย ๆ เรียกว่าใช้สงครามจิตวิทยาได้ดีพอสมควรและ คนที่ด่านั้นก็มีความสามารถคุมอารมณ์ได้ดีพอสมควร ใครที่โดนแบบนี้อาจจะน่ากลัวและเครียดกว่ากรณีอื่น ๆ ที่ยกมาก่อนหน้านี้ 

             ผมคิดว่าคงมีการด่าอีกหลาย ๆ ประเภทในสังคมไทย บางรายถึงขั้นใช้กายกรรมร่วม กับวจีกรรมด้วย เช่น การลงไม้ลงมือ ใช้ความรุนแรง ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมักนำมาซึ่งความ หายนะสูญเสียทั้งทางสุขภาพกายและสุขภาพใจ แต่จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับ “เจตนา” ของผู้กระทำ

             จะฝึกจิตอย่างไรให้รับคำด่าได้.....

             การถูกด่าเป็นเรื่องที่ทุกคนอาจจะเคย โดน ผมว่าคนที่เคยโดนนั้นน่าจะโชคดีกว่าคนที่ไม่เคยโดน เพราะอย่างน้อยก็เป็นการได้ฝึกความคิดของตนเอง เหมือนมีใครสะกิดเราให้รับรู้ว่า สิ่งที่เราทำไม่ถูกต้องเสมอไป หรือแม้เราทำถูกต้อง แต่ก็มีคนอื่นๆที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเรา เพียงแต่เขาบางคนก็ไม่อาจแสดงความเห็นแย้งในความแตกต่างได้อย่างถูกช่องทางมากนัก เลยเลือกที่จะใช้ช่องทางการแสดงออกทางความคิดด้วยวาจาที่ผสมอารมณ์ ทั้งนี้และทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่ด่า แต่ขึ้นอยู่กับคนที่รับคำด่ามากกว่าว่าจะรับสาส์นเหล่านั้นและตีความไปอย่างไร แล้วเราจะฝึกจิตใจอย่างไรไม่ให้หวั่นไหวกับการถูกด่าชนิดต่าง ๆ

             ถามตัวเองว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ไหม ใครพูดอะไรเล็กน้อย อารมณ์พลุ่งพล่าน โกรธทันที โดยที่ยังมิได้พินิจพิเคราะห์ คนเหล่านี้ มักมีความคิดอัตโนมัติในเชิงลบอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องหากใช้สติและควบคุมอารมณ์ได้ อาจจะเข้าใจหรือไม่ต้องไปใส่ใจก็ได้ให้เปลือง พลังชีวิต ถ้าคุณเป็นคนแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา น่าจะต้องปรึกษาบุคลากรดูแลสุขภาพจิตแล้ว หรือปฏิบัติธรรมบ้าง เพื่อให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

             ถามตัวเองว่าเป็นคนชอบใส่ใจกับคำพูดบางประเภทที่ไม่มีค่ามากพอหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องของตัวตนและพลังชีวิตของคุณแล้ว หากเป็นคนที่ low self หรือคนที่มีความ ภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ จะรู้สึกว่าทุกๆคำพูดของคนอื่น ๆ นั้นช่างมีอิทธิพล กำหนดความสุขความทุกข์ของตนเองได้อย่างมากมาย คนเหล่านี้จะรู้สึกรับไม่ได้หากมีคนไม่ชอบตนเอง โดยลืมไปว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีคนชอบทุกคนได้ ไม่มีใครเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบจนเป็นที่ถูกอกถูกใจทุก ๆ คน

           จะนิรโทษกรรมทางใจให้กับคำด่าได้อย่างไร.... 

           ก็คงต้องมองที่ความคิด อารมณ์และความเข้าใจในการรับรู้ถึงชนิดของการด่าที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าปล่อยวางได้และมองในแง่ดีที่ถูกด่าว่าเพราะความปรารถนาดี คุณจะได้พัฒนาตนเองขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตคงมีความก้าวหน้า ส่วนคนที่ถูกด่าทอสาดเสียเทเสีย ให้นึกเสียว่า คนที่ด่าเราเขาคงมีชีวิตที่ไม่มีความสุขสักเท่าไร การด่าใครออกไป ก็เป็นการทำให้เขามีความสุขเพียงชั่วคราว แล้วก็กลับมาทุกข์ต่อ คนประเภทนี้เป็นคนที่น่าเวทนาอย่างมาก

             ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครในที่นี้ชอบการถูกด่าเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกกลัวและกังวล แต่การด่าอาจจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไปถ้าคนที่ชอบด่าทำไปด้วยเจตนาที่ดีและอยู่บนพื้นฐานอารมณ์ที่มั่นคงมาก่อน อย่าลืมสิครับ เรื่องที่คนอื่นเขาด่าว่าเรามันจะไม่น่ากลัวเลย ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาด่า ฝึกสร้างความมั่นใจและภูมิใจในตัวเองสักหน่อยคงจะดี

             ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือการทำในสิ่งที่ผิดแล้วคนรอบข้างไม่ด่าว่า แต่มัวแต่ชื่นชมและยกยอปอปั้นให้ท้าย ซึ่งจะกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตของคนคนนั้นในที่สุด.

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Friday, November 8, 2013

ความสงบนิ่งแห่งจิต


ความสงบนิ่งแห่งจิต
เกศสุดา ชาตยานนท์

            ในห้องเรียนโยคะ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ผู้ฝึกจะได้ทุ่มเทช่วงเวลาทั้งหมดที่มีอยู่ ได้กลับมาอยู่กับร่างกายอย่างเต็มที่

            เกศสุดา ชาตยานนท์ : ผู้เขียนใช้โยคะเพื่อการฝึกสติและการบำบัดผู้ที่มีความเครียด มีปัญหาทางจิตใจ ความไม่สมดุลในการใช้ชีวิต เน้นให้ผู้ฝึกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อตัวเองและผู้อื่น ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการชุมชนเยียวยานานาชาติแห่งการเจริญสติ มูลนิธิชีวิตใหม่ จ. เชียงราย 
            ในห้องเรียนโยคะ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ผู้ฝึกจะได้ทุ่มเทช่วงเวลาทั้งหมดที่มีอยู่ ได้กลับมาอยู่กับร่างกายอย่างเต็มที่ 
            ความหมายของการอยู่กับร่างกายคืออะไร? เพราะร่างกายก็อยู่กับเราตลอดเวลาอยู่แล้ว เราเข้าไปเรียนโยคะได้ก็เพราะร่างกายช่วยให้เราไป ช่วยให้เราฝึกท่าทางต่าง ๆ อันนี้ก็ถือว่าจริง แต่ความหมายที่พูดว่าให้กลับมาอยู่กับร่างกายอย่างเต็มที่นั้น ผู้เขียนหมายถึงความรู้สึกตัวเกี่ยวกับร่างกาย และอยากจะโยงมาสู่วิถีแห่งโยคะ โยงไปเพื่อให้ช่วงเวลาในการฝึกโยคะแต่ละครั้งเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ ทุกระยะทางของการฝึกนั้นเติมเต็มเป้าหมาย 
            เป้าหมายของการฝึกเพื่อให้จิตหลอมรวมไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับกาย และสิ่งรอบๆตัว และนำไปสู่ความสงบนิ่ง ไปสู่จิตว่าง ไร้ความคิดปรุงแต่งใด ๆ มีเพียงการเลื่อนไหลไปคู่กันระหว่างกายกับจิต 
            ธรรมชาติของจิตไม่สามารถที่จะอยู่นิ่ง ๆ หากเราไม่ฝึกฝน จิตนั้นไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ต้องหาที่ยึด เกาะเกี่ยว วิ่งไปทางโน้น ทางนี้ คิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตหรือเราอาจจะเรียกว่า ความคิดนั้นทำงานตลอดเวลา ศาสตร์แห่งโยคะนั้นพยายามที่จะหาหลากหลายวิธีและหนทางที่จะควบคุมความแส่ส่ายของจิต 
           ในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ เป็นไปได้ว่าเราไม่ได้มีโอกาสได้สำรวจร่างกายตลอดเวลา เราอาจจะไม่เคยรู้สึกว่าเรานั่งแบบไหน กระดูกสันหลังตั้งตรงไหม ไหล่เท่ากันหรือเปล่า คอเอียงหรือไม่ น้ำหนักที่วางลงที่ก้นกบ หรือสะโพกเท่ากันไหม เท้าเราวางอยู่ตรงไหน ไหล่เราผ่อนคลายหรือไม่ ใบหน้าเกร็งหรือเปล่า เวลาเดิน น้ำหนักเท้าที่วางลงกับพื้นเป็นอย่างไร แขนแกว่งสบาย ๆ มากน้อยเพียงไร ลมหายใจเป็นอย่างไร ส่วนไหนตึง ส่วนไหนสบาย ฯลฯ นี่เองคือการอยู่กับร่างกาย 
           ระหว่างการฝึกไม่ว่าจะเป็นอาสนะ ฝึกลมหายใจหรือฝึกเทคนิคใดๆ ก็ตาม ผู้เขียนมักจะคอยเตือนให้ผู้ฝึกสังเกตการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงไปของร่างกาย ตามดูความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะยกแขน ลดแขน ยืดหน้าอก แผ่นหลัง โน้มตัวไปข้างหน้า แอ่นไปข้างหลัง ฯลฯ ส่วนในของร่างกายตึง ส่วนไหนที่สบาย ยิ่งถ้าเราได้ฝึกท่ามีการเคลื่อนไหวของขาทีละข้าง หรือแขนที่ละข้าง เช่น การยกขึ้นลงในการฝึกท่านอน ในท่าคันไถครึ่งตัว หลังจากยกขาข้างขาวขึ้นทีละช่วงและค้างไว้ แล้วลดลง 
            ผู้เขียนก็จะแนะนำให้ผู้ฝึกได้หยุดสังเกตร่างกาย ด้วยการเปรียบเทียบน้ำหนักขาทั้งสองข้างก่อน สังเกตว่ามีความต่างกันหรือไม่ นี่คือประโยชน์ในการที่จะช่วยให้เราช้าลง เวลาที่เราช้าลงจะทำให้เราสังเกต รับรู้ สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้ดีขึ้น หรือแม้แต่สัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราได้ดีขึ้นด้วย 
            ในขณะเดียวกันการรับรู้นั้น ก็ต้องเป็นการรับรู้ล้วน ๆ เช่น อาจจะรู้สึกว่าขาข้างขวาหนัก อุ่น ๆ ร้อน ๆ ข้างซ้ายเบา เย็น ลมหายใจเต้นเร็ว หรือช้า เราอาจจะมีความคิดเกิดขึ้นก็ได้ว่า อ้อ นั่นคือการไหลเวียนของเลือด หรือเรากำลังเหนื่อย เพราะลมหายใจเต้นเร็ว แต่เราก็ฝึกที่จะให้ความคิดจบอยู่ตรงนั้น เรารู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น แต่เราก็กลับมาสังเกตความรู้สึกของร่างกาย และลมหายใจที่ค่อย ๆ เต้นช้าลงไปในที่สุด 
            การฝึกฝนเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ฝึกเกิดการตระหนักรู้ถึงความจริงแท้ภายในตัวเอง สิ่งนี้อาจจะไม่ใช่อะไรที่เหนือมหัศจรรย์ แต่เป็นการพัฒนาระบบประสาทสัมผัส เราได้เรียนรู้ ขอบเขต ความเป็นไปของความคิด ความรู้สึกของร่างกายและความรู้สึกทางอารมณ์ และนำพาไปสู่การกระทำต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างสมดุล และยังจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น มีสมาธิ ความสามารถในการจดจ่อ ใส่ใจ การตั้งจิตในสภาวะที่เหมาะสมและมีสุขภาพที่ดี

ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

6 วิธีคลายหนาวให้ตัวอุ่น


6 วิธีคลายหนาวให้ตัวอุ่น

           ช่วงนี้อากาศในประเทศไทยอาจจะมีร้อน ๆ หนาว ๆ ตาม ๆ กันไป ทั้งร้อนระอุจากเหตุการณ์ทางการเมืองกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย และอาจจะมีลมหนาวพัดแผ่ว ๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ไม่รู้ว่าหนาวนี้จะหนาวกันได้สักกี่วันเชียว แต่ยังไงก็แล้วแต่ เรามาหาวิธีรับมือกับอากาศหนาวให้อุ่นกันไปทั้งกายและใจกันได้เลยค่ะ

           1. การกอด ทำได้ง่าย ๆ ใช้ทรัพยากรน้อย แต่มีพลังมหัศจรรย์ แค่เรามีคนข้าง ๆ เป็นคนที่เรารักก็พอไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมายให้ยุ่งยาก ใครจะกอดตัวเองก็ได้อยู่นะ แต่ก็คงจะไม่อุ่นเท่ามีคนให้กอดด้วย จะกอดกับคนที่เรารัก พ่อ แม่ญาติพี่น้อง ได้หมด ขอแค่ให้เขาเต็มใจก็พอ นอกจากการกอดจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค คลายเครียด ทำให้นอนหลับสนิท ทำให้มีชีวิตชีวา การกอดถือเป็นยาวิเศษดี ๆ เลยก็ว่าได้ และถ้ายิ่งกอดกันด้วยความรักแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี ๆ ที่หลาย ๆ คนควรนำไปปฏิบัติกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับคนที่เรารักได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

           2. มีแฟนเจ้าเนื้อ ช่วงหนาวนี้สำหรับใครที่มีแฟนเป็นหนุ่มสาวไซส์ใหญ่ จ้ำม่ำ เจ้าเนื้อ ถือว่าได้เปรียบคนอื่นๆ นะ เพราะคนเจ้าเนื้อมักมีความอดทนกับความหนาวได้มากกว่าคนที่หุ่นบาง ร่างน้อย เมื่อยิ่งได้กอดหรือสัมผัสกันแล้วคงจะช่วยคลายความหนาวได้ไม่น้อยเลย หนุ่มสาวเจ้าเนื้อ ก็จะมีน้ำหนักประมาณ 60 กก. ขึ้นไป ถึงมีแฟนเป็นคนเจ้าเนื้อหรืออ้วนแม้จะได้รับความอบอุ่นเป็นพิเศษ แต่ก็ระวังกันหน่อยนะอย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้อ้วนมากเกินไป เพราะอาจจะมีโรคต่าง ๆ ตามมาก็เป็นได้

           3. ผิงไฟ วิธีนี้เป็นวิธีที่เห็นผลได้ชัดเจนทำให้ร่างกายเราอบอุ่นได้อย่างแน่นอน แค่มีกองไฟแล้วไปนั่งอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เราก็คลายหนาวได้แล้ว จะมีการก่อกองไฟ หรือทำที่ผิงไฟ คงจะมีหลาย ๆ วิธี แล้วแต่ที่คนจะทำ แต่คงต้องระวังความปลอดภัยของตัวเองและของคนรอบข้างกันหน่อย รวมไปถึงทรัพย์สินของเราด้วย การก่อกองไฟอาจจะเป็นอันตรายกับเราได้ อาจเกิดการสำลักควัน และขาดอากาศหายใจจนทำให้เสียชีวิตเลยก็เป็นได้ หรือถ้าคุณผู้หญิงหลาย ๆ คนไม่อยากผิวเสีย ผิวแห้ง ผิวแตกกร้าน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงวิธีนี้ไปเลยค่ะ

           4. กินปิ้งย่าง, หมูกระทะ ถือเป็นวิธียอดฮิตของใครหลาย ๆ คน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ร้านปิ้งย่าง หมูกระทะ มักจะมีคนไปกินกันอย่างหนาแน่น แต่วิธีนี้มีข้อห้ามสำหรับสาว ๆ ไว้นะว่าอย่าไปกินกับแฟนเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีการเลิกรากันก็เป็นได้ ไม่ได้เว่อร์นะ ไม่เชื่อลองดู โดยเฉพาะเดตแรก ถือเป็นข้อห้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาอาจจะรับกับพฤติกรรมการกินที่แสนจะมูมมามของเราไม่ไหวก็เป็นได้นะ อีกทั้งการกินปิ้งย่างยังทำให้หัวเหม็น เป็นวิธีที่สาว ๆ หลาย ๆ คนระอาไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ไม่ต้องแต่งหน้าไปจัด ๆ ควรเลือกอาหารร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ลดหวาน มัน เค็ม เน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานด้วย

           5. ออกกำลังกาย กรมอนามัยได้ออกมาพูดถึง การออกกำลังกายช่วงหน้าหนาวว่า ฤดูหนาวถือเป็นช่วงที่เหมาะที่จะออกกำลังกาย เพราะทำให้ไม่ค่อยเหนื่อย เป็นวิธีที่ดีได้ทั้งการคลายหนาวและได้ทั้งสุขภาพที่ดี เมื่ออากาศหนาว ร่างกายจะรู้สึกชา ๆ เพราะเลือดมันเริ่มโดนความหนาวเข้ามาเกาะ ทำให้กระแสโลหิตเริ่มสูบฉีดช้าลง ดังนั้นการทำให้ร่างกายของเราได้รับความอบอุ่น ได้รับการคลายหนาวได้ เราต้องพยายามทำตัวให้ active อยู่เสมอ ทำให้การไหลเวียนของเลือดคล่องขึ้น ความร้อนในร่างกายก็จะสูงขึ้นเพื่อมาต้านความหนาวได้ ส่วนการออกกำลังกายนั้นก็มีหลาย ๆ วิธีที่ช่วยคลายหนาวได้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนได้เลย จะเป็นกีฬากลางแจ้งหรือในร่มก็ไม่เกี่ยง ขอแค่ได้ออกกำลังกาย ก็จะทำให้ร่างกายเราอบอุ่นได้แล้ว

           6. การมี sex เซ็กซ์คือการปลดปล่อยทางร่างกาย เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ทั้งชายและหญิงจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย โล่งสบาย และจะนอนพักผ่อนไปในที่สุด การมีเซ็กซ์ก็เหมือนกับการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ร่างกายต้องขับเหงื่อออกมา ซึ่งถ้าหากใครที่กำลังป่วยแล้วมีเซ็กซ์ล่ะก็ อาการป่วยที่ว่าก็จะลดหายลงไปทันที เนื่องจากร่างกายจะมีอุณหภูมิที่สูงมากขึ้น ทำให้เชื้อหวัดต่าง ๆ เกิดอ่อนกำลังและหายตามไปด้วยเหมือนกัน รวมทั้งยังทำให้ร่างกายของคนเราอบอุ่นจากลมหนาว ๆ ของเราได้อีกด้วย

           จากทั้ง 6 วิธีที่เราได้เสนอมา ใครสนใจวิธีไหน หรือถนัดแบบไหน เลือกทำกันได้ตามสบายเลยค่ะ หวังว่าหน้าหนาวนี้ทุกคนคงอบอุ่นกันทั่วหน้านะคะ

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Thursday, November 7, 2013

รายงานการพัฒนาบทเรียนโมดูล


ชื่อเรื่อง
รายงานการพัฒนาบทเรียนโมดูล  เรื่อง  Tenses  วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 
(อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ผู้ศึกษา 
นางสาวจิตรลดา  จตุรนต์รัศมี                 
โรงเรียน
โรงเรียนบ้านขุนประเทศ  สำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
ปีทีพิมพ์ 
2556

บทคัดย่อ
   บทเรียนโมดูลเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยตนเอง  และดำเนินไปตามความสามารถของตนเอง  เป็นการตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นอย่างดี  ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าและประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง  ผู้เรียนได้เรียนรู้เป็นขั้นตอนทีละน้อย และทราบผลการเรียนรู้ของตนเองทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น รายงานการพัฒนาบทเรียนโมดูล  เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  มีวัตถุประสงค์  1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนโมดูล  เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน  75/75  2)  เพื่อศึกษาประสิทธิผลของบทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ร้อยละ  50 ขึ้นไป  3)  เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนโมดูล  เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  และ  4)  เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนโมดูล เรื่อง Tense วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่  1 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านขุนประเทศ จำนวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง(Purposive  Sampling)  เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ  1)  บทเรียนโมดูล  รื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  จำนวน 6  บทเรียน  2)  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง  Tenses  วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก  จำนวน 40 ข้อ 3)  แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้บทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  จำนวน 19 แผน และ  4)  แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนโมดูล  เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101)  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลอง  (Experimental  Research)  ใช้รูปแบบ  One  Group  Pretest – Posttest  Design  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการตรวจสอบสมมติฐานโดยใช้สูตรการหาประสิทธิภาพ  สูตรการหาประสิทธิผลและใช้การทดสอบค่าที (t-test)  ผลการศึกษาพบว่า
             1.  ประสิทธิภาพของบทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) 
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 92.96/86.44  ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ 
 2.  ประสิทธิผลของบทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) 
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ ร้อยละ 74.23
3.  ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses  วิชา
ภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
4.  ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนโมดูล เรื่อง Tenses วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน
(อ22101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับมาก